ถิ่นกำเนิดของแตงกวา
- ชื่อสามัญ: Cucumber
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucumis sativus Linn.
- ชื่ออื่น : ภาคเหนือเรียกว่า แดงขี้ไก่ แต่งขี้ควาย แต่งช้าง ,เชียงใหม่เรียกว่า แต่งปี แดงยาง แตงเห็น แตงยิ้ม ตาเสาะ
- ถิ่นกำเนิด ประเทศอินเดีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แตงกวาเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับฟักทอง บวบ มะระ น้ำเต้า และแตงโม
ลำต้น
เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อยที่มีมือเกาะช่วย พยุงลำต้น ลำต้นเป็นเหลี่ยมและมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป ลำต้นยาวประมาณก 2-3 เมตร มีระบบรากเป็นรากแก้ว
พันธุ์ของแตงกวามีอะไรบ้าง
1. แตงกวา
- มีลักษณะผลสั้น อวบ ผิวอาจมีหนามเล็กน้อย เนื้อหนา เหมาะสำหรับนำไปทำส้มตำ ทานสด หรือจิ้มน้ำพริก
2. แตงกวากลิ่นหอมใบเตย (นวตกรรมใหม่) ทานแล้วสดชื่น
-
สลัด: หั่นแตงกวาเป็นชิ้นแล้วนำไปทำสลัดร่วมกับผักและผลไม้อื่นๆ เพื่อให้กลิ่นใบเตยอ่อนๆ เข้ากันได้ดีกับรสชาติของผักสด
-
เครื่องดื่ม: ลองนำแตงกวาไปปั่นรวมกับน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าเพื่อทำเครื่องดื่มดีท็อกซ์ ก็จะช่วยเพิ่มกลิ่นหอม
3. แตงกวาญี่ปุ่น (Japanese Cucumber / Kyuri):
- ผลยาวเรียว ผิวเรียบหรือมีปุ่มเล็กๆ เนื้อแน่น กรอบ และมีเมล็ดน้อยมาก
- นิยมทานสด หรือนำไปทำซูชิ สลัดแตงกวาญี่ปุ่น (Sunomono)
4. แตงกวาอื่นๆ
เช่นแตงกวางู (แตงกวาอาร์เมเนีย) ทำเมนู
- ยำแตงกวาอาร์เมเนีย: คล้ายกับการทำยำแตงกวาไทย แต่การใช้แตงกวางูจะให้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างและน่าสนใจยิ่งขึ้น
- จิ้มน้ำพริก: หากชอบทานแตงกวาสดกับน้ำพริก แตงกวางูก็เป็นอีกทางเลือกที่อร่อย
แบ่งสายพันธุ์ตามขนาดของความยาวของแตงกวา
แบ่งตามความยาวของแตงกวา น้อยกว่าหรือเท่ากับ 13 เป็นแตงกวาผลสั้น , มากกว่า 13 เป็นแตงกวาผลยาว
แตงกวาผลสั้น
ยาวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 13 ซม.
ยาว 9-12 ซม.
- เมล็ดแตงกวาลูกผสม หอมใบเตย F1 ศรแดง
- เมล็ดแตงกวาลูกผสม สปีดแม็ก F1 ศรแดง
- เมล็ดแตงกวา แบมแบม เจียไต๋
- เมล็ดแตงกวาเบลล่า เจียไต๋
- เมล็ดแตงกวามีชัย 285 ตะวันต้นกล้า
ยาว 12-13 ซม.
วิธีปลูกและดูแลต้นแตงกวา1
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก
ชนิดของดิน
- ดินที่เหมาะแก่การปลูก: แตงกวาสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะชอบดินร่วนปนทราย มีค่า pH ประมาณ 5-6.5 และดิน ความชื้นพอเหมาะ มีการระบายน้ำดี น้ำไม่ขังแฉะ เพราะหากน้ำขังแฉะจะทำ ให้เกิดโรคทางใบได้ง่าย เป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากแต่ขาดน้ำไม่ได้
อุณหภูมิที่เหมาะสม
- แตงกวาเป็นพืชที่ต้องการอากาศอบอุ่นแต่ไม่ถึงกับร้อนจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส ดังนั้นการ ปลูกแตงกวาให้ได้ผลดีควรเลือกปลูกในขณะที่อากาศยังอบอุ่นอยู่ ถ้าอากาศร้อนเกินไปแตงกวาจะมีแต่ดอกตัวผู้ ทำให้ได้ผลผลิตน้อย
- อย่างไรก็ตามสภาพอุณหภูมิในประเทศไทยสามารถปลูกแตงกวาได้ตลอดปี แต่ผลผลิตที่ได้จะแตกต่างกัน
การเตรียมดิน
- แตงกวาเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง จึงควรขุดหรือไถดินให้ลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร
- ตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน จากนั้นจึงไถพรวนดินเก็บวัชพืชออก
- แล้วเตรียมแปลงปลูกกว้าง 1-12 เมตร โดยมีความยาวตามลักษณะของพื้นที่ มีร่องระบายน้ำอย่าให้น้ำท่วมขัง
- เตรียมหลุมปลูกโดยกำหนดระยะระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร
- ระยะระหว่าง ต้น 50-60 เซนติเมตร
- สำหรับการใส่ปุ๋ยเคมีรองกันหลุมนั้นอาจใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่
- ส่วนปุ๋ยคอกใส่อย่างน้อยหลุมละ 0.5 กิโลกรัม คลุกเคล้าปุ๋ยให้เข้ากับดิน
วิธีการปลูกแตงกวา
แตงกวาสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่ปลูกได้ดีที่สุด คือ ช่วงปลายฤดูฝน ฤดูหนาว
-
สำหรับวิธีการปลูกแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้
1. การปลูกโดยไม่ใช้ค้าง
- ขุดหลุมให้ลึกประมาณ 2.5 เซนติเมตร ใช้ระยะระหว่างแถว 1 เมตร ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร
- หยอดเมล็ดลงปลูกโดยตรงหลุมละ 3-5 เมล็ด
- กลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือดินผสม ละเอียดจนเต็มหลุม
- แล้วรดน้ำให้ชุ่ม และคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งเพื่อช่วย เก็บรักษาความชื้น
2. การปลูกโดยใช้ค้าง
- ใช้ระยะระหว่างแถว 1 เมตร และ ระยะระหว่าง ต้น 50 เซนติเมตร
- สำหรับวิธีการปลูกทำเช่นเดียวกันกับการปลูกโดยไม่ใช้ค้าง
- การปลูกวิธีนี้จะใช้ค้างช่วยพยุงลำต้นทำให้ดูแลรักษาง่ายขึ้น แต่จะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นิยมใช้กับแตงกวาผลยาว เพราะถ้าไม่ใช้ค้างแล้วผลจะงอไม่สวยและ ผลจะเน่าได้ง่าย เนื่องจากผลแตง สัมผัสกับดิน
ซุ้มเลื้อยแตงกวา
- เมื่อต้นกล้างอกจนมีใบจริง 2-3 ใบควรถอนแยกเอาต้น ที่อ่อนแอหรือไม่สมบูรณ์ออกไป โดยให้เหลือหลุมละ 2 ต้น
- หลังจากปลูกประมาณ 14 วันแตงกวาจะเริ่มเลื้อย ถ้าปลูกแบบใช้ค้างควรทำค้างเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้ต้นเลื้อยพันขึ้น โดยใช้ ไม้ค้างยาวประมาณ 2 เมตร ปักหลุมละ 2 อัน ปักให้เอียงเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม รวบปลายไม้เข้าหากันผูกเชือกไว้ให้แน่นทำแบบกระโจม แล้วผูกไม้หรือเชือกขวางอีก 2-3 อัน
การดูแลแตงกวา
การให้น้ำ
- หลังจากหยอดเมล็ดลงหลุมแล้วต้องรดน้ำให้ชุ่ม และในระยะแรกที่แตงกวาเริ่มงอกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ
- จนกระทั่งแตงกวาเริ่มออกดอกจึงลดการให้น้ำลงเหลือ 2-3 วัน/ครั้ง แต่ พิจารณาสภาพของดินประกอบด้วย และไม่ควรปล่อยให้แตงกวาขาดน้ำในระยะออกดอกเพราะทำให้ดอกร่วง การให้น้ำที่เหมาะสมจะทำให้ได้ผลผลิตสูง ผลแตงกวาสมบูรณ์มีคุณภาพดีและมีขนาดพอเหมาะตามความต้องการ
ทำไมแตงกวาถึงมีรสขม?
เพราะแตงกวาขาดน้ำจึงทำให้ผลมีรสขม การให้น้ำแตงกวาไม่ควรให้วิธีพ่นฝอยเพราะจะทำให้เกิดโรคทางใบได้ง่าย ควรให้น้ำแบบปล่อยไปตามร่องหรือปล่อยให้ไหลท่วมแปลงจนดินชุ่ม แต่ต้องไม่ท่วมจนเปียกใบหรือเถา เพราะจะทำรากเน่าได้
การใส่ปุ๋ย
- ในระยะแรกของการเจริญเติบโตคือเมื่อต้นแตงกวาอายุได้ประมาณ 7-10 วันหรือเมื่อมีใบจริง 2-3 ใบ และทำการถอนแยกเสร็จแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยยูเรียหรือแอมโมเนียมซัลเฟตในอัตรา 20 กิโลกรัม/ไร่ โรยไประหว่าง แถวหรือรอบๆ หลุมให้ห่างจาก หลุมประมาณ 2 คืบ ทั้งนี้เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้น
- พอเข้าระยะที่แตงกวา ออกดอกหรือมีอายุประมาณ 25-30 วัน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12 ในอัตราประมาณ 20-30 กิโลกรัม/ไร่ โดยโรยระหว่างแถว เพื่อช่วยให้แตงกวาติดผลดีและผล คุณภาพดีขึ้น
- แต่พอหลังจากแตงกวาติดผลแล้วควรงดใส่ปุ๋ย เพราะอาจจะทำให้ดอกและผลร่วงได้ หลังจากใส่ปุ๋ยเสร็จควรพรวนดินและรดน้ำตามทุกครั้ง เพื่อให้ปุ๋ยละลายเป็นประโยชน์ต่อต้นแตงกวาโดยตรง
การเก็บเกี่ยว
- อายุการเก็บเกี่ยวของแดงกวาประมาณ 30-40 วัน หลังจากหยอดเมล็ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ใช้ปลูกและการดูแลรักษา
- การเก็บเกี่ยวแตงกวารับประทานสดให้เลือกเก็บขณะที่ผลยังอ่อน เนื้อแน่นกรอบ และก่อนที่เมล็ดภายในผลจะแข็ง สังเกตได้จากมีนวลสีขาวเกาะและยังมีหนามอยู่บ้าง พันธุ์พื้นเมืองที่นิยมปลูกในปัจจุบันจะมีขนาดความยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร มีสีเขียวอ่อนปนขาว
- ถ้าเป็นผลแก่จะเริ่มมีสีเหลือง ในการเลือกเก็บแตงกวารับประทานสดนั้นควรทยอยเก็บเรื่อยๆ อย่าปล่อยให้แตงกวาแก่คาต้น เพราะจะทำให้ผลผลิตโดยรวมลดลง ปกติจะเก็บเกี่ยวผลได้นานประมาณ 1 เดือน
- หลังจากเก็บผลแตงกวาแล้วต้องรีบนำเข้าที่ร่มทันที ห้ามนำไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้ผลมีสีเหลืองเร็ว เพราะฉะนั้นหลังจากฝนตกใหม่ๆ ไม่ควรเก็บเกี่ยวผลแตงกวา ควรรอให้ดินแห้งดีเสียก่อน
โรคและแมลงศัตรูพืชที่พบบ่อยของต้นแตงกวา
1.โรคราน้ำค้าง หรือที่นิยมเรียกกันว่า โรคโบลาย
สาเหตุเกิดจากเชื้อรามักระบาดในฤดูฝน ที่มีอากาศเย็นและชื้น
อาการส่วนใหญ่จะเกิดบนใบ โดยเริ่มเป็นจุดแผลสีเขียวชิดขึ้นก่อน ต่อมาจะค่อยๆ ขยายโตขึ้นเป็นสีเหลืองและมีขอบเขตเป็นเหลี่ยมตามแนวของ เส้นใบ
- ถ้าเป็นมากแผลจะลามไปทั้งใบทำให้ใบแห้งตาย ใบร่วง ต้นโทรม
- ถ้าอากาศชื้นจะพบว่าได้ใบตรงกับตำแหน่งของแผลจะมีเส้นใยสีขาวเกาะเป็น กลุ่มและมีสปอร์เป็นผงสีดำ เมื่อต้นแตงกวาเป็นโรคนี้จะส่งผลทางอ้อมไปถึง คุณภาพของผลคือ ผลเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แคระแกร็น รสชาติและคุณภาพ ไม่ดี
การป้องกัน
- เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่ต้านทานโรค หรือนำเมล็ดไปคลุกกับสารป้องกันเชื้อรา เช่น ไตรโคเดอร์มา หรือสารเคมีก่อนปลูก
- จัดระยะปลูกให้เหมาะสม เพื่อให้แปลงโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ลดความชื้นสะสม
- หมั่นตรวจแปลงสม่ำเสมอ หากพบใบที่เป็นโรค ให้รีบตัดทิ้งและทำลายทันที
การแก้ไข:
- ใช้สารชีวภัณฑ์ ไตรโคเดอร์มา ฉีดพ่นเพื่อยับยั้งเชื้อรา
- หากระบาดรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้สารเคมี เช่น เมทาแลกซิล (metalaxyl) หรือ ไซมอกซานิล และ แมนโคเซบ
2.โรคใบด่าง
สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส
- ซึ่งมักมี เพลี้ยอ่อน และ เพลี้ยไฟ เป็นพาหะนำโรค ทำให้ระบาดมากใน ฤดูฝน โดยมีเพลี้ยอ่อนเป็นพาหะนำโรค ลักษณะอาการคือใบจะด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนหรือด่างเรียงสลับเหลือง เนื้อใบตะปุ่มตะป่ามีลักษณะนูนเป็นระยะๆ ใบหงิกเสียรูปทรงใบหดย่น มีขนาดเล็กลง ขอบใบม้วน ข้อและปล้องสั้น ต้นแคระแกร็น
การป้องกัน:
- กำจัดแมลงพาหะ อย่างสม่ำเสมอ
- เลือกใช้พันธุ์ที่ต้านทานโรค
- ถอนต้นที่เป็นโรคไปทำลายทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังต้นอื่น
การแก้ไข:
- ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีที่ใช้รักษาโรคใบด่างโดยตรง การแก้ไขจึงเน้นที่การกำจัดต้นที่เป็นโรคและควบคุมแมลงพาหะเป็นหลัก
3. เพลี้ยไฟ
- เพลี้ยไฟ (Thrips)
แมลงขนาดเล็กที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดและใบอ่อน ทำให้ใบหงิกงอ มักระบาดหนักใน ฤดูแล้ง และ ฤดูร้อน
การป้องกัน:
- รักษาความสะอาดแปลงปลูก กำจัดวัชพืช
- ใช้กับดักกาวสีเหลืองหรือสีฟ้าเพื่อดักจับตัวเต็มวัย
- สร้างความชื้นในแปลงโดยการฉีดน้ำที่พื้นดิน
การแก้ไข:
- ใช้สารชีวภัณฑ์ บิวเวเรีย บาสเซียน่า หรือ เมทาซาน เมทาไรเซียม ฉีดพ่น
4. เพลี้ยอ่อน
แมลงดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดและใบอ่อน ทำให้ใบหงิกงอ และยังเป็นพาหะของโรคไวรัส มักระบาดตลอดทั้งปีโดยเฉพาะใน ฤดูฝน และ ฤดูร้อน
การป้องกัน:
- ควบคุมแมลงพาหะอย่างสม่ำเสมอ
- ฉีดพ่นด้วยน้ำผสมสบู่เหลวหรือน้ำส้มควันไม้เพื่อไล่แมลง
การแก้ไข:
- ใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น บิวเวเรีย บาสเซียน่า หรือ เมทาซาน เมทาไรเซียม ซึ่งเป็นศัตรูธรรมชาติของเพลี้ย
เต่าแตงแดง (Red pumpkin beetle)
แมลงปีกแข็งที่กัดกินใบ ทำให้เกิดรูพรุนบนใบ มักระบาดในช่วง ฤดูร้อน หรือ อากาศแห้ง
การป้องกัน:
- หมั่นสำรวจแปลงและเก็บทำลายตัวเต็มวัย
- รักษาความสะอาดของแปลงปลูก
การแก้ไข:
- ใช้สารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม อะนิโซเพล ฉีดพ่นในช่วงเย็น
สินค้าที่น่าสนใจ
ต้นโรสแมรี่เลื้อย
ต้นหญ้าหวาน|
69฿Original price was: 69฿.59฿Current price is: 59฿.ต้นเปปเปอร์มินต์ (Peppermint)
ต้นกะเพราแดง
ต้นพริกขี้หนู
ต้นสะระแหน่
ต้นวอเตอร์เครสเขียว
ต้นผักชีฝรั่ง
ต้นจิงจูฉ่าย
ต้นกระชายขาว
ต้นวอเตอร์เครสแดง
เมล็ดพันธุ์กะเพราแดง
เมล็ดโหระพา เจียไต๋
เมล็ดผักสลัดบิ๊กเรดโอ๊ค
เมล็ดพันธุ์กะเพราป่า
เมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกท้อ
เมล็ดพันธุ์คะน้ายอด
เมล็ดพันธุ์แมงลัก เจียไต๋
เมล็ดพันธุ์ถั่วฝักยาวพันธุ์เนื้อ
เมล็ดพันธุ์ถั่วพุ่ม
เมล็ดพันธุ์บวบงูสเน็กกี้
เมล็ดพันธุ์ผักกะหล่ำปลี
ไตรโคมิ้นท์ (Trichomint)
ไตร-แท๊บ (ไตรโคเดอร์มา)
สมุนไพรสกัดสะเดา real margosa
ปุ๋ยมูลไส้เดือน100% (vermicompost)
ปุ๋ยน้ำอินทรีย์น้ำทิพย์ชโลมพืช
ช่องาม อีเอ็ม(EM)
ไตรซาน ไตรโคเดอร์มา แอสเพอร์เรียลลัม
สารชีวภัณฑ์เมทาซาน เมทาไรเซียม แอนิโซเพลีย
บทความที่น่าสนใจ
บทความอื่นๆเพิ่มเติม▶️
ปลูกแตงกวาแบบมืออาชีพ
เคล็ดลับการปลูก...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
อิตาเลี่ยนเบซิล ผักเมดิเตอร์เรเนียน ปลูกง่าย
อิตาเลี่ยนเบซิล...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
ปลูกผักกินใบในแต่ละฤดู
🌱ปลูกผักกินใบใน...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
19 ของเหลือในครัว ทำปุ๋ยได้ง่ายแบบโฮมเมด
ดอกบานชื่นเป็นดอกไม้มงคลทานได้
ดอกบานชื่น มีคว...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
ฟักทองพันธุ์ต่างๆและวิธีปลูก
ฟักทองยอดนิยมพั...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
ปลูกแวววิเชียรให้ออกดอกทั้งปี
การบำรุงแวววิเช...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️
เทคนิคการปลูกแววมยุราอย่างมืออาชีพ
เคล็ดลับการปลูก...อ่านเพิ่ม▶️▶️▶️